Author Archives: admin
กรดไหลย้อน…..ภัยเงียบวัยทำงาน
โรคกรดไหลย้อน เป็นโรคที่พบได้บ่อยสำหรับบุคคลที่อยู่ในวัยทำงาน หากมีการรักษาที่ถูกต้อง มีการดูแลสุขภาพที่ดี ก็สามารถหายขาดได้ โดยเบื้องต้นต้องแยกให้ออกว่า ตัวเองอยู่ในภาวะของโรคกรดไหลย้อน หรือโรคกระเพาะอาหาร เพราะบางครั้งจะไม่สามารถแยกออกได้
ความแตกต่างระหว่างผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร หรือผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน
โรคกระเพาะอาหารจะแสดงอาการทางบริเวณช่องท้อง ตรงลิ้นปี่ หากใครมีอาการปวดจุก แน่น ตรงลิ้นปี่ แสดงว่าเป็นกระเพาะอาหาร หากเป็นโรคของกรดไหลย้อน จะมีอาการที่ทรวงอก เพราะหลอดอาหารอยู่ที่ทรวงอก ผู้ที่มีอาการแสบ ร้อน เจ็บ บริเวณที่ทรวงอก ซึ่ง 2 โรคนี้เกิดจากภาวะเป็นกรดที่เหมือนกัน หากเกิดกับหลอดอาหาร เรียกว่าภาวะกรดไหลย้อน หากเกิดจากกระเพาะอาหาร เรียกว่าโรคกระเพาะอาหาร โดยโรคกระเพาะอาหารจะมีอาการปวดก่อนทานอาหาร และหลังทานอาหาร แต่โรคกรดไหลย้อนจะเกิดหลังจากที่รับประทานอาหารแล้ว 30 – 60 นาที เพราะมีอาหารในกระเพาะอาหารแล้วไหลย้อนไปที่หลอดอาหารได้ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการได้
โดยภาวะกรดไหลย้อนจะมีอาการเรอเปรี้ยว แสบร้อนบริเวณคอ ถ้าเป็นโรคกระเพาะอาหารจะมีอาการคลื่นไส้ หรืออาเจียน
กลุ่มที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคกรดไหลย้อน ได้แก่
1.ผู้ที่มีโรคอ้วน เกินมาตรฐาน
2.ผู้ที่ดื่มสุรา กาแฟ
3.ผู้ที่สูบบุหรี่
4.สตรีที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากมีความดันในช่องท้องที่สูงขึ้น ทำให้เกิดมีภาวะของกรดไหลย้อนได้
5.ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
6. โรคหนังแข็ง จะมีการเคลื่อนไหวของหลอดอาหาร มีภาวะหูรูดของหลอดอาหารผิดปกติ ก็จะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงของโรคกรดไหลย้อนมากขึ้น ทั้งนี้กรดไหลย้อนเกิดขึ้นในทุกวัย
สาเหตุของโรค
1.หูรูดส่วนล่างของหลอดอาหารเสื่อม
2.กระเพาะอาหารบีบตัวลดลง
3.โรคอ้วน ในความอ้วนมีความดันในช่องท้องที่สูงกว่าคนปกติทั่วไป
4.การตั้งครรภ์ เนื่องจากในภาวะครรภ์ที่ใหญ่ขึ้น จึงทำให้เกิดความดันในกระเพาะเพิ่มขึ้นไปด้วย
5.รับประทานยาบางชนิด ยาบางประเภทสามารถออกฤทธิ์ให้กระเพาะอาหาร มีการหลั่งกรดเพิ่มขึ้น
6.การสูบบุหรี่ จะทำให้เกิดกรดมาก
7.ความเครียด
อาการกรดไหลย้อน
1.แสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ จากนั้นลามมาบริเวณหน้าอกหรือลำคอ ซึ่งอาการจะชัดเจนมากขึ้นหลังจากการทานอาหารมื้อหนัก
2. เรอมีกลิ่นเปรี้ยว เนื่องจากกรดซึ่งเป็นน้ำที่มีรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมายังปาก
อาการสำคัญที่ควรพบแพทย์
หากอาการไม่รุนแรงมาก ให้รักษาตัวได้ที่บ้าน อาจซื้อยาตามร้านขายยาได้
แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ควรพบแพทย์ เพราะอาจมีโรคแทรกซ้อนได้เพราะบางทีอาจไม่ใช่โรคกรดไหลย้อนได้
1.เป็นครั้งหนึ่งนานๆ มีการไหลย้อนแต่ละครั้งที่มีอาการรุนแรง ทำให้คุณภาพชีวิตเสียไป เป็นอยู่บ่อย นานอาเจียนเป็นเลือดบ่อย
2.น้ำหนักลดลงโดยไม่ได้ตั้งใจ
3.เบื่ออาหาร
4.กลืนเจ็บ
5.กลืนติด
6.กลืนลำบาก
7.ถ่ายเป็นเลือด
การวินิจฉัยและการรักษา
1.ซักประวัติ คนไข้ต้องมีอาการของโรคที่แน่ชัดคือภาวะแสบร้อนหน้าอก แน่นหน้าอก หรือเรอเปรี้ยว
2.ตรวจร่างกาย ในกรณีที่สงสัย หรือต้องการการยืนยันว่ามีภาวะกรดไหลย้อนหรือเปล่า อาจจะมีการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมด้วยการส่องกล้อง ตรวจทางเดินอาหาร ตรวจความเป็นกรดความเป็นด่างของหลอดอาหารจะเป็นสิ่งที่ยืนยัน โดยปกติที่ทำในเวชปฎิบัติ จะดูจากอาการและการตรวจร่างกายเท่านั้น
ในกรณีที่ต้องส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารหรือหลอดอาหาร เมื่อภาวะแทรกซ้อน หรือมีอาการที่ไม่แน่ชัดว่า เป็นจากโรคหรือภาวะกรดไหลย้อนหรือเปล่า อาทิ มีอาการกลืนติด กลืนเจ็บ มีน้ำหนักตัวลดลง หรือที่สงสัยหรืออาเจียนเป็นเลือด จำเป็นต้องส่องกล้องตรวจทางเดินอาหาร เพื่อยืนยันถึงภาวะของโรคกรดไหลย้อน
สำหรับผู้ที่ต้องเตรียมตัวส่องกล้อง
แพทย์จะใช้ยาลดความเจ็บปวด ด้วยการฉีดยา พ่นสเปรย์ที่คอ ไม่ได้ใช้หัตถการที่น่ากลัวหรือมีความเสี่ยง ดังนั้นผู้ที่มีอายุน้อยหรือมากก็สามารถส่องกล้องตรวจได้ ช่วงเวลาในการตรวจส่องกล้องประมาณ 5- 10 นาที
แนวทางการรักษา
ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ด้วยการดูแลตัวเอง ในกรณีที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว อาทิ ทานอาหารให้ช้าลง จากที่เคยทานมื้อใหญ่ๆ ให้ทานมื้อเล็กๆ ลดการดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่ แต่ยังมีอาการปวดมากขึ้น หรือไม่มาก ถึงแม้จะทานยาลดกรดแล้ว แต่มีอาการปวดรุนแรงมากขึ้น หลังจากตรวจวินิจฉัยของแพทย์ยืนยันแล้วว่าเป็นกรดไหลย้อน ผู้ป่วยอาจได้รับการผ่าตัด
ซึ่งในปัจจุบันการผ่าตัดไม่ค่อยใช้กันเท่าไหร่ เพราะว่าจะทำในกรณีความรุนแรงของโรคเท่านั้น การใช้ยาลดกรดจึงเป็นการรักษาที่สำคัญที่สุด
การป้องกัน
1. ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ผู้ที่มีภาวะอ้วนควรลดน้ำหนัก เพื่อลดภาวะหรือความเสี่ยงที่ทำให้เกิดความดันในช่องท้องที่สูงขึ้น ทำให้เกิดมีการไหลย้อนของกรด ไปที่หลอดอาหารได้ งดอาหารบางชนิด อาทิ อาหารมัน อาหารทอด ปิ้ง ย่าง อาหารที่มีรสชาติเผ็ด เปรี้ยว เค็มจัด ที่เป็นตัวที่ทำให้เกิดภาวะกรดไหลย้อนได้
2. หลีกเลี่ยง เครื่องดื่ม ชา กาแฟ น้ำอัดลม เบียร์ สุรา
3. ทานอาหารแล้ว ไม่ควรเข้านอนทันที ควรเว้นวรรค 2-3 ชั่วโมง ก่อนเข้านอน ให้เอนกายให้สูงประมาณ 6-10 นิ้ว เพื่อลดภาวะการเกิดกรดไหลย้อนของกรดจากกระเพาะอาหารได้
4. งดการสูบบุหรี่
5. ทานอาหารให้พอดี
6. ผ่อนคลายความเครียด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: รศ.นพ. ธเนศ ชิตาพนารักษ์ อาจารย์หน่วยวิชาระบบทางเดินอาหาร ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช.
ด้วยความปรารถนาดีจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ขอขอบคุณสำหรับบทความสุขภาพที่มีประโยชน์นี้มากครับ
Credit :: https://www.med.cmu.ac.th/web/news-event/news/hilight-news/2966/
Sleep hygiene สุขอนามัยการนอนหลับ
Sleep hygiene : สุขอนามัยการนอนหลับ
โดย พญ. ศิริลักษณ์ ผลศิริปฐม
- เข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลา เป็นประจำสม่ำเสมอและมีระยะเวลาการหลับเพียงพอ
- พยายามอยู่บนที่นอนเมื่อง่วงนอน และไม่ทำกิจกรรมอื่นบนเตียง ยกเว้น การนอนหลับหรือกิจกรรมทางเพศ ถ้าไม่สามารถนอนหลับภายใน 30 นาทีหลังจากเข้านอน แนะนำให้พิจารณาลุกออกจากเตียงแล้วทำกิจกรรมอื่นที่สงบและผ่อนคลายในความมืดหรือแสงสลัว เมื่อง่วงแล้วจึงกลับมานอนอีกครั้ง
- จัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการนอนที่ดี เช่น จัดห้องนอนให้เงียบ หรือไม่มีเสียงรบกวน มีอุณหภูมิพอเหมาะที่ทำให้หลับสบาย และหลับได้ดีตลอดคืน
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ 4 ถึง 6 ชั่วโมงก่อนนอน เพราะอาจทำให้เกิดการนอนหลับไม่สนิทในช่วงหลังได้
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม รวมถึงการสูบบุหรี่ ก่อนนอน เพราะคาเฟอีนและนิโคตินจะไปรบกวนการนอนหลับได้
- หลีกเลี่ยงการใช้ยานอนหลับ ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ยกเว้นภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากยาดังกล่าวทำให้กล้ามเนื้อทางเดินหายใจส่วนบนหย่อนมากขึ้น และหลีกเลี่ยงยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท โดยเฉพาะก่อนเวลาเข้านอน
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารจำนวนมาก หรืออาหารที่ย่อยยาก 3 ถึง 4 ชั่วโมงก่อนนอน เนื่องจากอาจทำให้รู้สึกอึดอัด นอนหลับไม่สนิท แต่สามารถรับประทานอาหารว่างเบาๆ ได้ เช่น นม ผลไม้ จะช่วยให้หลับสบายขึ้น
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักในเวลาก่อนนอน และหลีกเลี่ยงการทำงานที่มีความเครียดสูงเนื่องจากจะทำให้สมองตื่นตัว และพยายามทำให้ร่างกายผ่อนคลายก่อนเข้านอน เช่น อาบน้ำอุ่น 1-2 ชั่วโมงก่อนนอน หรืออ่านหนังสือที่มีเนื้อหาเบาๆ เป็นต้น
- พยายามไม่งีบหลับในเวลากลางวัน หากมีความจำเป็นให้พิจารณางีบหลับช่วงสั้นๆ ในตอนบ่าย แต่ไม่ควรนานเกิน 1 ชั่วโมง
ขอขอบคุณสำหรับบทความสุขภาพที่มีประโยชน์นี้มากครับ
Credit :: https://www.gj.mahidol.ac.th/main/knowledge-2/sleep-hygiene/
อาการง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน
อาการง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน (Exccessive Daytime Sleepiness)
โดย นพ.นพดล ตรีประทีปศิลป์
อาการง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวันคือ อาการที่คนเราไม่สามารถตื่นหรือตื่นตัวได้ระหว่างวันในสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ที่สำคัญส่งผลให้ไม่สามารถระงับการนอนหลับ หรือภาวะง่วงนอนได้แม้อยู่ในสถานการณ์นั้น ๆ ในบางรายอาจมีอาการรุนแรงที่เรียกว่า โรคลมหลับ ซึ่งหมายถึง การมีอาการง่วงนอนที่ไม่สามารถต้านทานได้จนหลับไปแบบทันทีทันใดไม่ทันรู้สึกตัว
อาการร่วม : อ่อนเพลีย สมองเฉื่อยชา มึนงง
สาเหตุหลัก ๆ :
- จำนวนช่วงโมงที่นอนไม่เพียงพอ
- คุณภาพการนอนที่ไม่ดี ทำให้หลับ ๆ ตื่น ๆ ตื่นบ่อย เช่น อาจจะเกิดจากภาวะนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ หรือ ภาวะขาอยู่ไม่สุขขณะหลับ
- ปัจจัยอื่น ๆ เช่น จากยาบางตัวที่ทำให้ง่วง, โรคทางกาย เช่น ภาวะบกพร่องฮอร์โมน ไทรอยด์ หรืออาการเจ็บป่วยทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า หรือ โรคจากการหลับ เช่น ภาวะลมหลับ
เมื่อใดควรพบแพทย์ :
- เมื่อรู้สึกความง่วงระหว่างวันนั้นมีปัญหารบกวนกับคุณภาพชีวิตหรือการทำงาน
- หากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปัญหาที่รีบด่วน เช่น งีบหลับหรือหลับในขณะขับรถจนเกือบเกิดอันตราย หรือไม่สามารถ ทำางานระหว่างวันได้ก็ควรรีบปรึกษาแพทย์
ตกขาวแบบไหนไม่ปกติ
ตกขาวแบบไหนไม่ปกติ
โดย พญ.เมธาวี อุฬารวงศ์ (สูตินรีแพทย์)
- ตกขาวที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป เช่น ตกขาวเป็นก้อนปริมาณมาก ตกขาวเป็นสีเขียว หรือมีฟอง
- ตกขาวร่วมกับอาการคันช่องคลอด
- ตกขาวที่มีกลิ่นผิดปกติ เช่น กลิ่นคาวปลา
- ตกขาวมีเลือดปน
ประจำเดือนแบบไหนไม่ปกติ
“ประจำเดือนแบบไหนไม่ปกติ”
โดย พญ.เมธาวี อุฬารวงศ์ (สูตินรีแพทย์)
ในผู้หญิงทุกคน เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นก็จะมีสิ่งที่เรียกว่าประจำเดือนออกมาตามรอบเดือน ประจำเดือนนั้นไม่ใช่ของเสียอย่างที่หลาย ๆ ท่านเข้าใจ แต่คือสิ่งที่เกิดจากการหลุดลอกตัวของผนังเยื่อบุโพรงมดลูกที่เตรียมไว้สำหรับรับการฝังตัวของตัวอ่อน เมื่อไม่ได้มีการฝังตัว ผนังจึงผลัดออกมาตามการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในแต่ละเดือน ดังนั้นประจำเดือนจึงควรออกเป็นรอบ ๆ อย่างสม่ำเสมอ ในปริมาณที่เหมาะสม
ประจำเดือน ควรมีลักษณะอย่างไร?
- ประจำเดือนมักมีสีแดง ไม่มีลิ่มเลือดหรือชิ้นเนื้อปน บางครั้งประจำเดือนอาจออกมาพร้อมกับตกขาวจึงดูเป็นก้อนได้แต่ไม่อันตราย
- ประจำเดือนมักไม่เกิน 7 วันต่อรอบ และมาเพียง 1 รอบต่อเดือน แต่ในบางครั้ง หากมีรอบเดือนในช่วงต้นเดือน อาจมีรอบเดือนอีกครั้งในช่วงวันท้ายๆของเดือนได้
- โดยเฉลี่ยแล้ว แต่ละรอบประจำเดือนจะห่างกัน 28 วัน แต่สามารถเป็นได้ตั้งแต่ 21 ถึง 35 วัน โดยในแต่ละคนควรมีรอบเดือนที่สม่ำเสมอในทุกๆเดือน อย่างไรก็ตามในช่วงปีแรกๆที่เริ่มมีประจำเดือนหรือในวัยใกล้หมดประจำเดือนอาจไม่สม่ำเสมอได้
- ปริมาณประจำเดือน ที่ปกตินั้นไม่ควรเกิน 80 ซีซี โดยค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 35 ซีซีต่อรอบ เทียบได้กับผ้าอนามัยประมาณ 3-4 ผืนต่อวัน
เลือดออกผิดปกติแบบไหนที่ควรมาพบแพทย์
- เลือดออกตามรอบเดือน แต่มาปริมาณมากผิดปกติ เปลี่ยนผ้าอนามัยถี่ขึ้น ใช้ผ้าอนามัยผืนใหญ่ขึ้นหรือต้องใช้ผ้าอ้อมอนามัย มีลิ่มเลือดปน เริ่มมีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม รวมถึงตรวจพบว่ามีภาวะเลือดจาง
- เลือดออกยาวนานขึ้น เช่น จากปกติมีรอบเดือนไม่เกิน 7 วัน แต่มียาวนานขึ้นเป็น 10 วัน
- มีเลือดออกกะปริบกะปรอยนอกรอบเดือน หรือมีประจำเดือนมากกว่า 1 รอบต่อเดือน
- เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
- เลือดออกหลังหมดประจำเดือน หลังหมดประจำเดือนแล้ว ฮอร์โมนเพศหญิงจะค่อยๆลดลงจนหมดไป จึงไม่ควรกลับมามีประจำเดือนอีก หากมีเลือดออกจากช่องคลอดควรมาพบแพทย์เพื่อประเมินทุกครั้ง
- ประจำเดือนไม่มาตามรอบ หรือประจำเดือนไม่มาติดต่อกันหลายเดือน
ประจำเดือนแบบไหนไม่ปกติ
ความรู้ทั่วไป, ความรู้สำหรับสุภาพสตรี ลงวันที่ 22 เมษายน 2565
“ประจำเดือนแบบไหนไม่ปกติ”
โดย พญ.เมธาวี อุฬารวงศ์ (สูตินรีแพทย์)
ในผู้หญิงทุกคน เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นก็จะมีสิ่งที่เรียกว่าประจำเดือนออกมาตามรอบเดือน ประจำเดือนนั้นไม่ใช่ของเสียอย่างที่หลาย ๆ ท่านเข้าใจ แต่คือสิ่งที่เกิดจากการหลุดลอกตัวของผนังเยื่อบุโพรงมดลูกที่เตรียมไว้สำหรับรับการฝังตัวของตัวอ่อน เมื่อไม่ได้มีการฝังตัว ผนังจึงผลัดออกมาตามการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในแต่ละเดือน ดังนั้นประจำเดือนจึงควรออกเป็นรอบ ๆ อย่างสม่ำเสมอ ในปริมาณที่เหมาะสม
ประจำเดือน ควรมีลักษณะอย่างไร?
- ประจำเดือนมักมีสีแดง ไม่มีลิ่มเลือดหรือชิ้นเนื้อปน บางครั้งประจำเดือนอาจออกมาพร้อมกับตกขาวจึงดูเป็นก้อนได้แต่ไม่อันตราย
- ประจำเดือนมักไม่เกิน 7 วันต่อรอบ และมาเพียง 1 รอบต่อเดือน แต่ในบางครั้ง หากมีรอบเดือนในช่วงต้นเดือน อาจมีรอบเดือนอีกครั้งในช่วงวันท้ายๆของเดือนได้
- โดยเฉลี่ยแล้ว แต่ละรอบประจำเดือนจะห่างกัน 28 วัน แต่สามารถเป็นได้ตั้งแต่ 21 ถึง 35 วัน โดยในแต่ละคนควรมีรอบเดือนที่สม่ำเสมอในทุกๆเดือน อย่างไรก็ตามในช่วงปีแรกๆที่เริ่มมีประจำเดือนหรือในวัยใกล้หมดประจำเดือนอาจไม่สม่ำเสมอได้
- ปริมาณประจำเดือน ที่ปกตินั้นไม่ควรเกิน 80 ซีซี โดยค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 35 ซีซีต่อรอบ เทียบได้กับผ้าอนามัยประมาณ 3-4 ผืนต่อวัน
เลือดออกผิดปกติแบบไหนที่ควรมาพบแพทย์
- เลือดออกตามรอบเดือน แต่มาปริมาณมากผิดปกติ เปลี่ยนผ้าอนามัยถี่ขึ้น ใช้ผ้าอนามัยผืนใหญ่ขึ้นหรือต้องใช้ผ้าอ้อมอนามัย มีลิ่มเลือดปน เริ่มมีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม รวมถึงตรวจพบว่ามีภาวะเลือดจาง
- เลือดออกยาวนานขึ้น เช่น จากปกติมีรอบเดือนไม่เกิน 7 วัน แต่มียาวนานขึ้นเป็น 10 วัน
- มีเลือดออกกะปริบกะปรอยนอกรอบเดือน หรือมีประจำเดือนมากกว่า 1 รอบต่อเดือน
- เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
- เลือดออกหลังหมดประจำเดือน หลังหมดประจำเดือนแล้ว ฮอร์โมนเพศหญิงจะค่อยๆลดลงจนหมดไป จึงไม่ควรกลับมามีประจำเดือนอีก หากมีเลือดออกจากช่องคลอดควรมาพบแพทย์เพื่อประเมินทุกครั้ง
- ประจำเดือนไม่มาตามรอบ หรือประจำเดือนไม่มาติดต่อกันหลายเดือน
แพทย์จะให้การรักษาอย่างไร
- แพทย์จะซักประวัติเบื้องต้น โดยเฉพาะประวัติทางสูตินรีเวช ได้แก่ ประวัติการตั้งครรภ์ ประวัติการคุมกำเนิด ประวัติการตรวจภายในและตัดกรองมะเร็งปากมดลูก รวมถึงประวัติประจำเดือนย้อนหลัง
- ตรวจร่างกาย การตรวจภายใน และอาจใช้การอุลตร้าซาวด์อวัยวะอุ้งเชิงกรานร่วมด้วยหากแพทย์สงสัยว่ามีความผิดปกติ
- ตรวจประเมินว่ามีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์หรือไม่ อาจจำเป็นต้องส่งตรวจปัสสาวะเพื่อประเมินการตั้งครรภ์
- ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของเยื่อบุโพรงมดลูก และอาจใช้เครื่องมือดูดชิ้นเนื้อในโพรงมดลูกไปตรวจในรายที่มีความเสี่ยง
แนะนำให้คุณสุภาพสตรีมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อประเมินทุกครั้ง หากพบว่ามีเลือดออกผิดปกติที่ลักษณะต่างออกไปจากประจำเดือน หรือไม่แน่ใจว่าเป็นเลือดออกผิดปกติหรือไม่ คลินิกนรีเวชกรรม ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกยินดีให้คำปรึกษาค่ะ
ขอขอบคุณสำหรับบทความสุขภาพที่มีประโยชน์นี้มากครับ
Credit :: https://www.gj.mahidol.ac.th/main/knowledge-2/menstruation/
กระดูกข้อเข่าเสื่อม ภาวะที่ทุกคนมีโอกาสเกิดขึ้นได้
กระดูกข้อเข่าเสื่อม ภาวะที่ทุกคนมีโอกาสเกิดขึ้นได้
โดย นพ.ธรรมพงษ์ คงคณิน
ภาวะข้อเข่าเสื่อมเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ และมีโอกาสเกิดขึ้นได้ในกลุ่มวัยกลางคน มีแนวโน้มพบได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยการใช้ชิวิตประจำวัน เช่น อาหารการกินที่ไม่เหมาะสม การออกกำลังกายที่ไม่พอเหมาะ เป็นต้น ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อมทำให้เกิดอาการเจ็บปวด ข้อเข่ามีผิดรูป ขาโก่ง เดินได้ไม่ปกติ มีปัญหาในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ทำให้เกิดความทุกข์ ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
- ภาวะการเสื่อมแบบ ปฐมภูมิ หรือ ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งเกิดจากอายุที่มากขึ้น มักพบในกลุ่มอายุที่มากกว่า 50 ปีขึ้นไป เป็นการเสื่อมสภาพของ กระดูกอ่อนผิวข้อเข่า ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างการรับน้ำหนัก และมีผลต่อการทำงานกระดูกข้อต่อมีปัญหา โดยมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ อายุ เพศ น้ำหนัก พฤติกรรม ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก
- ภาวะการเสื่อมแบบ ทุติยภูมิ เป็นการเสื่อมที่มีสาเหตุนำมาก่อน ทั้งเกิดจากโรคประจำตัว เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเก๊าต์ เป็นต้น หรือ เกิดจากการเคยประสบอุบัติเหตุบริเวณกระดูกข้อเข่า ทั้งเส้นเอ็น หมอนรองกระดูก รวมทั้งอาจจะเคยมีการติดเชื้อข้อเข่ามาก่อนก็สามารถทำให้เกิดภาวะข้อเข่าเสื่อมได้เช่นกัน
สัญญาณบ่งชี้ภาวะข้อเข่าเสื่อม
- อาการปวดบริเวณเข่า ทั้งตอนเริ่มเคลื่อนไหวเหยียดงอเข่า มีปวดเวลาเดินลงน้ำหนัก โดยเฉพาะตอนขึ้นบันได อาการจะดีขึ้นเมื่อนั่งพัก
- อาการข้อเข่าติดขัด ฝืด ในข้อเข่า มักจะพบอาการในตอนเช้าหลังตื่นนอน และเมือหยุดเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน
- รู้สึกว่ามีเสียงในเข่า กรึบกรับ เวลาขยับข้อเข่า สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีอาการปวด
- กล้ามเนื้อต้นขาลีบ เมื่อเทียบกับอีกข้าง แต่อาจจะประเมินได้ยากในกลุ่มคนไข้ที่เริ่มมีภาวะข้อเข่าเสื่อมทั้งสองข้าง
- เมื่อเริ่มมีภาวะข้อเข่าเสื่อมมากขึ้น จะทำให้เกิดการผิดรูปของข้อเข่า ขาโก่ง/ขาฉิ่งมากขึ้น หรือมีข้อเข่าหลวมร่วมด้วยเวลาเดิน
การรักษาภาวะข้อเข่าเสื่อม
การรักษาด้วยมีทั้ง การรักษาด้วยยา/กายภาพบำบัด หรือ การผ่าตัดภาวะข้อเข่าเสื่อม
การรักษาทางเลือกโดยการไม่ผ่าตัด :
- รักษาด้วยยาแก้ปวด ยาลดการอักเสบ หรือกลุ่มสารอาหารเสริมสร้างกระดูก
- ในปัจจุบัน จะเริ่มการรักษาด้วย ยาแก้ปวดกลุ่มพาราเซตามอล และยาต้านการอักเสบที่ไมใช่สเตียรอยด์ รวมทั้งอาจจะมียาเสริมด้วย ยากลุ่มกลูโคซามีนซัลเฟต [Glucosamine sulfate] เพื่อช่วยชะลอภาวะเสื่อม และซ่อมแซมผิวข้อ
- การฉีด สารเข้าข้อเข่า ในปัจจุบันมีการพัฒนา เป็นสารน้ำเลี้ยงไขข้อ มีหลายรูปแบบ ที่สามารถช่วยลดอาการปวดได้
- การทำกายภาพบำบัด เช่น การบริหารกล้ามเนื้อข้อเข่าให้แข็งแรง การใช้ความร้อน การฝังเข็ม
การรักษาด้วยการไม่ผ่าตัด จำเป็นต้องให้ผู้ป่วยให้ความร่วมมือ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิด ข้อเข่าเสื่อมลุกลาม เช่น การลดน้ำหนักให้เหมาะสม การออกกำลังกายเพื่อเสริม
สร้างกล้ามเนื้อรอบเข่า การใช้ชีวิตประจำวันที่เสี่ยงให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มเติม เช่นการนั่งพับเพียบเป็นเวลานาน การนั่งคุกเข่า เป็นต้น เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการรักษาที่ดี
การรักษาด้วยการผ่าตัด ในปัจจุบันจะแบ่งตามกลุ่มอายุ และสาเหตุที่ทำให้เกิดข้อเข่าเสื่อมของผู้ป่วย
- ในกลุ่มผู้ป่วยอายุน้อย ที่อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุ หรือมีขาผิดรูป จะเป็นการผ่าตัดปรับแนวข้อเข่า โดยการแก้ไขแนวแรงให้กระจายไปยังจุดที่ผิวข้อมีสภาพดี เพื่อลดอาการปวด
- ในกลุ่มผู้ป่วยอายุมากกว่า 50-60 ปี อาจจะพิจารณาการผ่าตัด เปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียม โดยมีทั้งแบบ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด หรือการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมบางส่วน ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อบ่งชี้ และข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป
ขอขอบคุณสำหรับบทความสุขภาพที่มีประโยชน์นี้มากครับ
Credit :: https://www.gj.mahidol.ac.th/main/knowledge-2/knee-osteoarthritis/
ทำความรู้จักกับต้อกระจก (Cataract)
ทำความรู้จักกับ ‘ต้อกระจก’ (Cataract)
โดย พญ.ปริยา จารุจินดา
หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินชื่อภาวะต้อกระจกกันมาบ้าง และอาจสับสนกับภาวะต้อชนิดอื่นๆทางตา รวมถึงกังวลถึงอันตรายและวิธีการรักษา บทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ ‘ต้อกระจก’กันค่ะ
ต้อกระจกเป็นภาวะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการขุ่นของ “เลนส์ตา” โดยปกติเลนส์ตาจะมีลักษณะใส ทำหน้าที่รวมแสงให้ตกลงบนจอประสาทตาทำให้เกิดการมองเห็นภาพ เมื่อเกิดต้อกระจก จอประสาทตาจะรับแสงได้ไม่เต็มที่ ทำให้การมองเห็นผิดปกติไป อาจมีสายตาพร่ามัวเหมือนมองผ่านกระจกฝ้า ยิ่งเลนส์ตาขุ่นมากขึ้น การมองเห็นจะลดน้อยลงตามลำดับ ภาวะต้อกระจกเป็นภาวะซึ่งเกิดจากความเสื่อมตามวัย จึงพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก
- อายุที่มากขึ้น คือสาเหตุหลักของโรคต้อกระจก
- การได้รับแสงอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดจัดเข้าตาเป็นเวลานานๆ
- อุบัติเหตุที่ดวงตา ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง โดนของมีคม สารเคมี หรือสารรังสี
- โรคตา หรือ โรคทางร่างกายบางโรค เช่น การติดเชื้อ โรคเบาหวาน
- การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
- กรรมพันธุ์ และความผิดปกติแต่กำเนิด การติดเชื้อและการอักเสบตั้งแต่อยู่ในครรภ์ แต่ในหลายรายต้อกระจกอาจเกิดขึ้นได้โดยไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด
อาการ
- ตามัวหรือมองเห็นไม่ชัดเจน ลักษณะคล้ายมีฝ้าหมอกบัง
- มองเห็นภาพซ้อน หรือมีอาการสายตาสั้นมากขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนแว่นตาบ่อย มองเห็นระยะใกล้ได้ดีขึ้น
- มองเห็นแสงไฟกระจาย โดยเฉพาะเวลาขณะขับรถในตอนกลางคืน
- สู้แสงสว่างไม่ได้
- มองเห็นสีผิดเพี้ยนไปจากเดิม
หากละเลยทิ้งไว้จนต้อกระจกสุกเกินไป อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น โรคต้อหิน การอักเสบภายในตา ซึ่งทำให้ เกิดอาการปวดตา ตาแดง และอาจถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้
การรักษา
ในระยะเริ่มแรกของการเป็นต้อกระจก จะพบว่ามีค่าสายตาที่เปลี่ยนไป การใส่แว่นตาเพื่อปรับค่าสายตาให้ เหมาะสมจะช่วยทำให้การมองเห็นดีขึ้นได้ จนกระทั่งต้อกระจกเป็นมากขึ้น วิธีการรักษาจะเป็นการผ่าตัดต้อกระจก และใส่เลนส์ตาเทียม ในปัจจุบันยังไม่มียาหยอดตาหรือยารับประทานใด ๆ ที่จะสามารถรักษาต้อกระจกได้
การรักษาต้อกระจกโดยการผ่าตัด
1) วิธีสลายต้อกระจกด้วยเครื่องสลายต้อ (Phacoemulsification With Intraocular Lens)
เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน แผลที่กระจกตาเล็กเพียง 3 มม. แพทย์จะสอดเครื่องมือสลายต้อเข้าไป ที่ตัวต้อกระจก ใช้พลังงานความถี่สูงเท่าระดับอัลตราซาวนด์เข้าสลายต้อกระจกจนหมดจึงใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่
2) วิธีผ่าตัดต้อกระจกแบบเปิดแผลกว้าง (Extracapsular Cataract Extraction with Intraocular Lens)
วิธีผ่าตัดดั้งเดิมที่ใช้ในกรณีที่ต้อกระจกสุกและแข็งมาก ๆ จนไม่เหมาะกับการ สลายด้วยเครื่อง จักษุแพทย์จะเปิดแผล บริเวณครึ่งบนของลูกตายาวประมาณ 10 มม.เพื่อ เอาตัวเลนส์ตาที่เป็นต้อกระจกออก แล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่แล้วจึงเย็บปิดแผลด้วยไหมเย็บแผล
ทั้ง 2 วิธีสามารถช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามองเห็นได้ปกติอีกครั้งหลังได้รับการผ่าตัด
การป้องกันและชะลอการเกิดต้อกระจก
หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่จะทำให้เกิดต้อกระจก เช่น
- ใส่แว่นกันแดดหรือกางร่มก่อนออกกลางแจ้ง
- รักษาและควบคุมโรคประจำตัวให้ดี เช่น เบาหวาน
- หลีกเลี่ยงการรับประทานยากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานานๆโดยไม่มีข้อบ่งชี้
ต้อกระจกเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ ผู้สูงอายุควรได้รับการตรวจคัดกรองสายตาเป็นระยะ หรือเมื่อมีอาการที่สงสัยว่า
อาจจะเป็นต้อกระจก แนะนำให้ไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาต่อไป
Ref: American academy of ophthalmology. Lens and cataract section 10 2016- 2017. Singapore :Basic and clinical science course; 2016
ขอขอบคุณสำหรับบทความสุขภาพที่มีประโยชน์นี้มากครับ
Credit :: https://www.gj.mahidol.ac.th/main/knowledge-2/cataract/
มะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านม
พญ. พิรัฐิมา วชิรปราการสกุล
อาการผิดปกติของเต้านมที่ควรมาตรวจเพิ่มเติม
- คลำได้ก้อนผิดปกติที่เต้านม
- มีน้ำไหลออกจากหัวนมผิดปกติ : สีเหลือง, เลือดปนน้ำใส, เลือด
- มีแผลผิดปกติบริเวณหัวนม หรือ หัวนมบุ๋ม ที่เพิ่งเกิดขึ้น(ไม่ใช่เป็นแต่กำเนิด)
- มีเต้านม บวม แดง ร้อนอักเสบ หรือ มีแผลผิดปกติบริเวณเต้านม
- คลำได้ก้อนผิดปกติบริเวณรักแร้
การตรวจคัดกรอง
โดยทั่วไปแนะนำให้ผู้หญิงเริ่มตรวจคลำเต้านมด้วยตนเอง เดือนละครั้ง ตั้งแต่อายุ 20 ปี
และแนะนำให้ผู้หญิงที่ไม่มีอาการผิดปกติ เริ่มตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยการตรวจแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์เต้านมได้ตั้งแต่อายุ 40 ปี รวมถึงแนะนำให้เข้ารับการตรวจคลำเต้านมจากบุคลากรทางการแพทย์ปีละครั้ง
ทั้งนี้ หากผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ สามารถเข้ามารับการตรวจก่อนได้เลย ไม่จำเป็นต้องรอตามช่วงอายุข้างต้น
ขอขอบคุณสำหรับบทความสุขภาพที่มีประโยชน์นี้มากครับ
Credit :: https://www.gj.mahidol.ac.th/main/knowledge-2/breastcancer/